วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ข้อดีของโบรกเกอร์ RoboForex

1. เสปรดต่ำ เริ่มต้นที่ 0 pips (ไม่คิดค่า เสปรด เลย)
2. รองรับ EA ได้ทุกรูปแบบ
3. ลงทุนต่ำสุด 10 เหรียญ (ยังไม่ต้องลงทุนก็เทรดได้)
4. รองรับ LR ใช้ง่ายสะดวกกับพวกเรา
5. เสปรดต่ำๆ เปิดออเดอร์เร็วมากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่นที่เปิดไม่ค่อยได้(รีโคว)เวลาตลาดแรงๆ ทำให้เล่นสั้นๆได้สบาย ไม่เสียจังหวะ ไม่เสียอารมณ์
6. มีเงินฟรีให้เราเทรด 15 เหรียญ(คิดเป็นเงินไทยเราก็ได้ฟรีๆ 500บาท เชียวนะ) กำไรจากจากโบนัสถอนออกได้ทันทีหลังจากยืนยันตัวตน
7. เทรดต่ำสุด 0.1 lot บัญชีแบบ Pro-Cent จุดละ 1 Cent เท่านั้น บริหารดีๆ เทรดเรื่อยๆ รวยได้จากเงินฟรีครับ
8. มีปุ่ม OneClickTrading ช่วยให้เทรดได้ง่ายขึ้น สะดวกต่อการเปิด-ปิดออเดอร์ (และผมชอบมากเวลาเปิดออเดอร์หลายๆ ออเดอร์ กด Close All ทีเดียว ปิดหมดทุกออเดอร์ทันที สะดวกมากครับ)
9. สามารถเทรดทองคำ (Gold Spot) ,เงิน (Silver)ได้อีกด้วยนะครับ Spread ต่ำ  และมีคู่เงินให้เลือกเก็งกำไรเยอะมาก  ไม่มีคอมมิชชั่น
10.ถอนเร็วมาก หลังจากยืนยันตัวตน กดถอนไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ได้รับเงินแล้วครับ ปกติแค่ 30 นาที ในวันและเวลาทำการ 





เริ่มกันเลย เปิดบัญชี รับเงินฟรี 15$ (1500 เซ็น) "เทรดได้เท่าไหร่เอาไปเลย"
(15$ ที่ให้เป็นทุนก็สามารถเบิกได้นะครับ แต่ต้องทำจำนวน lot หรือ order ให้ได้ตามจำนวนที่เขากำหนดถึงจะเบิกได้ ซึ่งก็ใช้เวลาหลายเดือนพอสมควรครับ)

ขั้นตอนการเปิดบัญชี คลิก  
ขั้นตอนการยืนยันตัวตน คลิก
ขั้นตอนการฝาก
ขั้นตอนการถอน
วิธีการรับโบนัส

------------------------------------------------


EA สำหรับเทรดอัตโนมัติ ทำกำไรไม่มากแต่ค่อนข้างชัวร์ ติดต่อผมได้ที่ E-mail /Msn - maxie2532@hotmail.com
------------------------------------------------


หากมีปัญหาติดขัด หรือข้อสงสัยก็สอบถามผมมาได้ที่ E-mail /Msn - maxie2532@hotmail.com ได้ตลอดนะครับ

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
จากหนังสือ คัมภีร์หุ้น


       ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
      นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
       ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
       Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
      EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
      แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
     ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
       ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น

       อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
       ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"

       เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
         บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
         คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
         ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
        เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
        ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น จากหนังสือหลายๆเล่ม พอสรุปเหมือนกันได้ดังนี้
อ่านต่อบทความต่อไปครับ

กฎการลงทุนของ Victor Sperandeo

กฎการลงทุนของ Victor Sperandeo


สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ว่างๆก็เลยขุดหาหนังสือมาอ่านซื้อไว้นานแล้วแต่ไม่ได้อ่านซักที(ชื่อ หนังสือ คัมภีร์หุ้น) อ่านไป อ่านมาไปเจอหัวข้อ กฎการลงทุนของ Victor Sperandeo  ซึ่งได้แปลและย่อมาจากหนังสือ Methods Of Wall Street Master  นาย Victor เป็นคนมีชื่อเสียงในฐานะนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น Wall Street มากว่า 23 ปี โดยเขาบอกว่าประสบการณ์ลงทุนทั้งหมดสามารถสรุปได้เป็น 19 ข้อ ดังนี้






กฎข้อที่ 1 ลงทุนอย่างมีแบบแผน และปฎิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
            ก่อนลงทุน Victor บอกว่าจะต้องรู้เป้าหมายและโอกาสจะไปถึงเป้าหมาย ซึ่งหมายถึงการกำหนดแนวทางในการตัดสินใจ ถ้าเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ และจะต้องรู้ระยะเวลาในการลงทุนของตัวเอง เช่น เราเป็นนักลงทุยระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ความหมายในกฎข้อแรกของ Victor คือก่อนการลงทุนทุกครั้งต้อง "รู้เรา" หรือรู้จัก "ตัวเอง" ก่อน


กฎข้อที่ 2 จงเล่นหุ้นตามแนวโน้มตลาด
             Victor แบ่งแนวโน้มตลาดออกเป็น 3 ช่วง คือ แนวโน้ม ระยะสั้น แนวโน้มระยะปานกลาง และแนวโน้มระยะยาว ในแต่ละแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องรู้ว่ากำลังอยู๋ในแนวโน้มอะไร และอยู่ในช่วงใดของแนวโน้มนั้น ในสังเกตราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากหรือยัง

กฎข้อที่ 3 ใช้วิธีการตัดขาดทุนเมื่อจำเป็นทุกครั้ง
            Victor  บอกว่าก่อนลงทุนต้องวางแผนว่า เราจะตัดขายขาดทุนในระดับใด เมื่อราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่เราคิด กฎข้อนี้ Victor อธิบายว่า การที่เรายอมขาดทุนเพียงส่วนน้อย ย่อมดีกว่าขาดทุนบานปลายจนเราไม่กล้าตัดสินใต ซึ่งตามหลักการแล้วการตัดขาดทุนไม่ควรให้ราคาหุ้นตกลงไประดับ 10-20 % ของต้นทุน

กฎข้อที่ 4 เมื่อสงสัยในทิศทางตลาด ควรอยู่นอกตลาด
            สิ่งที่ Victor แนะนำถ้าเราอ่านตลาดไม่ออก ถ้าไม่มีหุ้นในมือยังไม่ควรซื้อ ถ้ามีหุ้นอยู่แล้ว ควรทยอยลดพอร์ต เข้าบอกว่าไม่ควรเข้าตลาดช่วงที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ฝูงชน ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของความโลภ และความกลัว

กฎข้อที่ 5 จงรอระยะอย่างอดทน และอย่าลงทุนหุ้นมากตัวเกินไป
            วิธีทำกำไรที่ดี ควรรอจนปัจจัยร้ายๆต่างๆมีความชัดเจนมากที่สุด และไม่ควรซื้อมากตัวเกินไป ทางที่ดีที่สุดควรซื้อหุ้นไม่เกิน 10 ตัว

กฎข้อที่ 6 ทำกำไรช้า แต่ตัดขาดทุนเร็วๆ
          กฎข้อนี้สำคัญมากๆ ในช่วงที่หุ้นกำลังขึ้น Victor บอกว่า ควรปล่อยให้ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆอย่ารีบร้อนขาย แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่าใกล้ชิด ในทางกลับกัน ถ้ารู้ว่าเข้าผิดจังหวะ จะต้องตัดขายออกอย่างรวดเร็ว และให้ถอยออกมาตั้งหลักนอกตลาด

กฎข้อที่ 7 อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
            กฎข้อนี้เป็นการเตือนว่า "อย่าโลภมากเกินไป " บางคนมีวิธีการคือ ถ้าราคาขึ้นไป 1 ใน 3 ของเป้าหมายกำไรที่ตั้งไว้ก็ตัดขายออกมา 1 ใน 3 ส่วนกำไรเพิ่มขึ้น 1 ส่วน ก็ตัดขายออกมา 1 ส่วน เพื่อให้แน่ใจว่า ทำกำไรได้แน่นอน(สรุปได้กำไร2/3ส่วน หากหุ้นมาถึงเป้าหมาย)

กฎข้อที่ 8 ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายเมื่อราคาสูงขึ้น
            Victor เน้นย้ำสำหรับนักเก็งกำไร ถ้ามองแนวโน้มใหญ่ยังเป็นขาขึ้น แต่แนวโน้มระยะสั้นราคาอ่อนตัวให้เข้าซื้อลงทุนระยะสั้นได้ (แต่ถ้าแนวโน้มใหญ่เป็นขาลงด้วย อย่าเข้าไปรับเชียว ตามกฎอย่ารับมีดที่ตกจากท้องฟ้า)

กฎข้อที่ 9 เป็นนักลงทุนในช่วงต้นของตลาดกระทิง และเป็นนักเก็งกำไรในช่วงท้ายตลาดกระทิงและ       ตลาดหมี
            วิธีการลงทุนที่ฉลาด Victor บอกว่า ถ้ามั่นใจว่าตลาดเริ่มพลิกกลับจากหมี มาเป็น กระทิง เราต้องซื้อลงทุน อย่างเล่นเก็งกำไร แต่ถ้าตลาดหุ้นขึ้นมามากแล้ว ซึ่งคาดว่า จะเป็นปลายกระทิง หรืออยู่ในตลาดหมี อย่าเล่นแบบลงทุน ในซื้อขายแบบนักเก็งกำไร(แต่ต้องเตรียมตัดขาดทุนด้วยนะครับ หรือไม่หากเริ่มเจ็บสักครั้ง ก็เลิกมาตั้งหลักดีกว่าครับ)

กฎข้อที่ 10 อย่าใช้วิธีถัวเฉลี่ยการขาดทุน
             การถัวเฉลี่ยอาจหมายถึงการ "ถลำลึก" ลงไปเรื่อยๆและปกปิดข้อบกพร่องของตัวเอง Victor ให้เรายอมตัดขาดทุนและรอกลับมาซื้อราคาถูกจะดีกว่า

กฎข้อที่ 11 อย่าซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก และอย่าขายเพราะคิดว่าราคาสูง
            หลักเลี่ยงความคิดว่า ราคาได้ตกลงมาถึง "จุดต่ำสุด"แล้วหรือคิดว่า ราคาสามารถ"ผ่าน" สุดสูงสุดเดิมไปได้ ความจริงคืออย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นตัวตัดสิน Victor บอกว่า เพราะมันอาจจะเป็นความคิดที่ผิด

กฎข้อที่ 12 ให้เล่นหุ้นในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
             Victor เชื่อว่า ตลาดช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำ เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงแสดงถึงความไม่มั่นใจในสภาวะตลาดจึงไม่คุ้มที่จะ เข้ามาลงทุน

กฎข้อที่ 13 อย่าเข้าตลาดในช่วงที่มีความผันผวนสูง
             ตลาดหุ้นที่ผันผวนสูงมักจะเป็นช่วงปลายของตลาดหุ้นขาขึ้นเป็นช่วงที่นักลง ทุน ขาดการไตร่ตรอง จึ่งเสี่ยงต่อการติดหุ้นสูง

ฎข้อที่ 14 ซื้อหรือขายหุ้นอยู่บนพื้นฐานการตัดสินใจของตนเองเท่านั้น
            กฎของ Victor ข้อนี้ บอกให้เราซื้อขายหุ้นบนพื้นฐานการตัดสินใจของเราเองอย่าเล่นตามข่าวลือ เพราะกว่าข่าวลือจะมาถึงทำให้เราก้าวตามหลังคนอื่นหลายก้าว จึกมักจะตกเป็นเหยื่อในที่สุด


กฎข้อที่ 15 ต้องวิเคราะห์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
            เขาเน้นย้ำว่า เมื่อนักลงทุนเกิดความผิดพลาดขึ้น ควรนำมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นสาเหตของความผิดพลาดนั้น จะได้ไม่ปกปิดความผิดพลาดจนทำให้การลงทุนครั้งต่อๆไปล้มเหลว


กฎข้อที่ 16 ต้องระมัดระวังข่าวลือเรื่องการ Take Over
             ทั้งนี้เพราะข่าวการเทคโอเว่อ จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น ถ้าจะเข้าลงทุนต้องไวพอ

กฎข้อที่ 17 ตรวจสอบราคาซื้อขายให้ชัดเจนก่อนส่งคำสั่ง ซื้อขาย

กฎข้อที่ 18 จดคำสั่งการซื้อขายทุกครั้ง เป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องเมื่อมีการทำผิดพลาดของโบรกเกอร์

กฎข้อที่ 19 รู้และปฏิบัติตามกฎทั้ง 18 ข้อ ( 15 ข้อก็คงพอนะท่าน Victor )

เพื่อนๆลองอ่านดูนะครับ พิมพ์จนมือหงิกแล้วครับ เด๋วผมจะมาตีแตกกฎแต่ละข้อสำหรับ Forex ให้อ่านอีกทีครับ

เทรดจาก 5$ เป็น 10,000$ ใน 1 ปี เขาทำกันอย่างไร มาดู

ผมเคยทำแผนเทรดจากเงิน 5 เหรียญ เป็น 10240 เหรียญ โดยการบริหารเงิน Money Management แบบต่างๆ ดังรูปด้านล่างครับ




จากรูปด้านบน ทำได้ไม่ยากครับ และก็ไม่ง่าย ผมว่าทุกคนทำได้ครับ ไม่เกินความสามารถของเราหรอก แต่ที่ทำยากก็คือการควบคุมอารมณ์และระงับความโลภนี่แหระครับ คือปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ล้างพอร์ตก่อนถึงเป้าหมาย ความกดดันต่างๆนาๆ เป็นอุปสรรคต่อการพุ่งชนเป้าหมายครับ

ที่ Colume สีฟ้า เป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด เทรดที่ 5-15 % ของทุน โดยเป้าหมายต่อวัน คือ 33-100 จุด

แต่สำหรับผมคิดว่า Colume สีเหลือง ทำง่ายกว่า เก็บเพียง 16-25 จุดต่อวันเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ยากมากนัก

เช่น เราลงทุนก้อนแรก 100 $ ถ้าเป็น Mini Account ของ Exness ก็ควรเทรดที่ 0.02-0.03 lot จุดละ 20-30 เซนต์
แต่ถ้าเป็นบัญชี Micro Cent ของ Forex4you ก็เทรดที่ 2-3 lot จุดละ 20-30 เซนต์ เช่นกัน

แต่เราลองดูที่ Colume สุดท้ายสิครับ ลงทุน ครึ่งนึงของพอร์ตเลย เทรดทีละ 50 % วันละครั้งเท่านั้น เอาให้ได้ 10 จุด หรือกี่ครั้งก็ได้ แค่ทำให้ได้วันละ 10 จุดเท่านั้น ได้แล้วหยุด 1 ปี รวยแน่นอน เช่น ทุน 100 $ ลง 0.05 lot จุดละ 50 เซนต์

เราควรเพิ่มจำนวน Lot ทุกๆเดือน ถ้ามีกำไรนะครับ แต่ถ้ายังไม่มีกำไร ก็ต้องเทรดจำนวน Lot เท่าเดิมนั้นไปจนกว่าจะมีกำไร แล้วค่อยเพิ่มจำนวน Lot

ดูเหมือนง่ายๆครับ แต่ทำยาก เก็บเพียงวันละ 10 จุด เทรดที่ 50 % ของพอร์ต



สู้ๆนะครับ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ การใช้เครื่องมือ (Tool) ตัวชี้วัด( Indicator) และรูปแบบกราฟต่างๆ (Chart pattern) ในการคาดการณ์ว่าแนวโน้มในอนาคตจะเป็นอย่างไร
  •  เครื่องมือ (Tool) คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่  Trendline   Fibonacci  เป็นต้น
  • ตัวชี้วัด (Indicator) คือ เป็นตัววัดการเคลื่อนที่ของราคา ซึ่งจะเกิดหลังราคา อินดิเคเตอร์ แบ่งออกเป็น 2แบบใหญ่ๆ คือ ตัวชี้วัดที่บอกแนวโน้ม (Trend Indicator)และตัวชี้วัดที่วัดการแกว่งของตลาด(Oscilator Indicator)Trend Indicator ได้แก่  Moving Average Bolinggerband Parabolic sar  และ Oscilator Indicator ได้แก่ MACD , Stochastic , RSI , CCI , ADX
  • รูปแบบกราฟ (Chart Pattern)  เป็นรูปแบบการสร้างตัวของกราฟ ได้แก่ รูปแบบของกราฟแท่งเทียน ( Candlestick Pattern) รูปแบบการกลับตัว (Reverse Pattern) 
  • ทั้งหมดเหล่านี้ สามารถเรียนรู้ได้จาก www.babypips.com (ภาษาอังกฤษ นะครับ)
เครื่องมือที่ใช้การเกร็งกำไรสำหรับมือใหม่่ 
- Moving Average (Exponenetial) :EMA    period 5  และ period 20 
ฺี  สัญญาณซื้อ ( Buy Signal ) ฺี Buy  เมื่อ EMA 5 ตัด EMA 20 ขึ้นไป  สัญญาณขาย( Sell Signal) Sell เมื่อ EMA 5 ตัด EMA 20 ลงมา
 -Parabolic Sar ค่าเดิมไม่ต้องเปลี่ยนแปลง
  สัญญาณซื้อ (Buy Signal) Buy เมื่อ เกิดจุดไข่ปลาปรากฏด้านล่างของเส้นราคา และ สัญญาณขาย (Sell Signal) Sell เมื่อ เกิดจุดไข่ปลาปรากฏอยู่ด้านบนของเส้นราคา

-Moving Average Convergence Divergence : MACD (12-26-9)
ค่าเดิมไม่ค้องเปลี่ยนแปลง
 สัญญาณซื้อ(Buy Signal) Buy เมื่อ เส้น macd line ตัด Signal line ขึ้นไป และ สัญญาณขาย (Sell Signal) Sell เมื่่อ Macd line ตัด signal line ลงมา
 -เปิดบัญชีเทรดเงินฟรี 5 $ จาก Marketiva คลิกที่นี่ Open New Account



  หลักการเบื้องต้นในการวิเคราะห์กราฟ

หลักการเบื้องต้นของการวิเคราะห์กราฟ ก่อนอื่นเลยสิ่งที่เราต้องรู้ก็คือ แนวโน้มจะไปทางไหน ขึ้นหรือลง เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันขึ้น
หรือรู้ได้อย่างไรว่ามันลง หรือว่าขึ้นแค่ไหนถึงจะสุดสูงสุดและต่ำสุดตรงไหน คำตอบของปัญหานี้ก็คือ การใช้เส้นแนวโน้ม (Trend line)
ซึ่งเราจะใช้เครื่องมือนี้ในการหาแนวโน้มของราคา แนวโน้มแบ่งออกเป็น 3 แบบ 1.แนวโน้มขึ้น ( Up Trend) 2. แนวโน้มลง ( Down Trend)
3.Sideway
UP TREND แนวโน้มขาขึ้น                                
แนวโน้มขาขึ้น ดูแล้วก็ไม่ยากอะไรใช่มั้ยครับ ขึ้นลงสลับฟันปลา แต่ก็มีข้อจำกัด High ใหม่ ต้องสูงกว่า High เก่า และ Low ใหม่ต้องสูงกว่า Low เก่า
นิยามของ Up Trend คือ  Hn...> H3 > H2 > H1 และ Ln ... > L3 > L2 > L1 ( L=Low จุดต่ำสุด H=High n= แทนจำนวนยอดคลื่นลูกใดๆ 1 2 3 ..n

Down Trend แนวโน้มขาลง
แนวโน้มขา จากรูปจะเห็นว่า จุดต่ำสุดใหม่ต้องต่ำกว่าสุดต่ำสุดเก่า และสุดสูงสุดใหม่ ต้องต่ำกว่าจุดสูงเก่าอันเก่า
นิยามของแนวโน้มขาลง คือ Hn ...< H3 < H2 < H1 และ Ln...< L3 < L2 < L1
Sideway
 คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงกรอบราคาแคบๆ มีทิศทางไม่แน่นอน จะขึ้นก็ไม่ขึ้น จะลงก็ไม่ลง จะค่อนข้างราบเรียบขนานไปกับพื้น flat และ channel

 การใช้เส้นแนวโน้ม(Trendline)ในการทำกำไร
เทรนไลน์เป็นเครื่องมือตัวหนึ่่งที่สามารถใช้ทำกำไรให้กับเราได้ นอกจากจะใช้้บอกแนวรับ-แนวต้านแล้ว ยังสามารถบอกจุดเข้า-จุดออกให้เราได้อีกด้วย




-การใช้เส้นแนวโน้มเพื่อทำกำไร โดยการเลือกที่ Tool ที่ชื่อว่า Trendline แล้ว ลากจากจุดสูงสุดเก่ามาหาจุดสูงสุดใหม่ และลากจากสุดต่ำสุดเก่า มาหาจุดต่ำสุดใหม่
-จากรูปด้านบน 
หมายเลข 1 เป็นจุดต่ำสุดราคาได้มีการปรับตัวขึ้นไปที่ หมายเลข 2 และปรับตัวลงมาหาหมายเลข 3 เมื่อมาถึงหมายเลข 3 แล้วราคามีการกลับตัวขึ้นไปอีก ดังนั้นเราควรจะลากเทรนไลน์์ จากหมายเลข 1 ลากผ่านหมายเลข 3 ขึ้นไป จากนั้นก็รอดูสัญญาณที่หมายเลข 4 ถ้าสามารถทะลุหมายเลข 4 ได้ ให้เราเปิด ออเดอร์ Buy ทันที แล้วนั่งรอ นอนรอ หรือไปทำอย่างอื่น รอจนกว่าราคาจะตัดเส้นแนวโน้มขาขึ้นลงมาอีกครั้ง เราจึงปิดออเดอร์ Buy ที่หมายเลข 5 และรอสัญญาณการทดสอบ ที่หมายเลข 5 อีกครั้ง ถ้าไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ เราก็เปิดออเดอร์ Sell แล้วรอจนกว่า ราคาจะทะลุุเส้นแนวโน้มขาลง ขึ้นไปอีกครั้ง เราจึงปิดออเดอร์ Sell ที่หมายเลข 6 เห็น มั้ยครับ ว่าไม่ยากเลยสำหรับการใช้เทรนไลน์ในการเกร็งกำไร กับตลาดฟอเร็ก สามารถประยุกต์ใช้ได้ทุกค่าเงินและทุกช่วงเวลานะครับ ...$$

การเข้าซื้อ-ขาย โดยใช้หลักการณ์ 123 Buy -Sell
-การเข้าซื้อ-ขายโดยใช้หลักการของ 123 buy -sell นี้ เป็นหลักการที่ใช้ทั่วไป ซึ่งสามารถทำกำไรได้ ดูตามรูปด้านล่างประกอบเลยนะครับ
-123 Buy   สัญญาณซื้อ(Buy Signal) จะเกิดเมื่อราคาได้วิ่งผ่าน เส้นประที่ระดับหมายเลข 2 เราจึงเปิด ออเดอร์ Buy ทันที
-123 Sell   สัญญาณขาย (Sell Signal) จะเกิดเมื่อราคาได้วิ่งผ่าน เส้นประที่ระดับหมายเลข 2 เราจึงเปิด ออเดอร์ Sellทันที
 เครดิต fx-dd.makewebeasy.com ครับ

ข่าว ที่มีผลกับตลาด forex

การวิเคราะห์กราฟของ Forex
การวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน( Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
1.การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน คือการวิเคราะห์ ข่าว เศรษฐกิจ เหตการณ์ต่างๆของประเทศนั้นๆ  ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเล่่น USD/JPY  เราเล่นค่าเงิน ดอลล่าห์
เทียบ เงินเยน ของ ยี่ปุ่น เราก็ต้องดูข่าวของ อเมกาและข่าวของยี่ปุ่น ยกตัวอย่างข่าว ถ้าข่าวของเมกาออกมาดี ทำให้ดอลล่าห์แข็งค่าขึ้น จะทำให้ USD/JPY
ขึ้น แต่ถ้าข่าวของเมกาออกมาไม่ดี จะทำให้ดอลล่าห์อ่อนค่าลง จะทำให้ USD/JPY วิ่งลง เราสามารถดูข่าวได้จากwww.forexfactory.com  

จะประกอบด้วย Date(วันที่) ,Time (เวลา), Currency(ค่าเงิน), Impact(ความแรงของข่าว)  ,Actual (ค่าที่ออกจริง),
forecast
(คาดการณ์) ,previous(ตัวเลขที่ออกก่อนหน้านั้น)Impact สีแดงจะเป็นข่าวที่มีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือสีส้ม และสีเหลือง
และสีข่าวจะแสดงว่าเป็นวีนหยุดของตลาดของประเทศนั้นและตัวเลขจริงที่ออก มาActual ตัวเลขที่ออกมาจะมี 3 สีด้วยเช่นกัน คือ สีเขียวคือข่าวดี
สีแดงคือข่าวไม่ดี สีดำคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งนีี้้ก็ขึ้นอยู่กับความแรงของข่าวด้วย Impact ถ้าข่าว High Impact สีแดง
และตัวเลขที่ประกาศออกมา เป็นสีเขียวหรือสีแดง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงประมาณ 100 pips ขึ้นไป
-วิธีการเกร็งกำไรจากข่าวในตาราง Forexfactory ให้ีรอดูตัวเลขจริง Actual ออกมาก่อนนะครับ เมื่อตัวเลขจริงออกมามากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขที่คาดการณ์
ไว้จะส่งผลทำให้ดีกับค่าเงินนั้นๆ แต่ถ้าตัวเลขจริงออกมาน้อยกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลเสียกับค่าเงินนั้นๆ  เช่น  ถ้าข่าวของ USD ออกมามากกว่า
ตัวเลขคาดการณ์(Forecast) จะทำให้ USD / XXX  ขึ้น  และทำให้ XXX / USD  ลง  ( XXX คือ ค่าเงินของประเทศนั้นๆเมื่อเทียบกับดอลล่าห์สหรัฐ(USD)
อาทิเช่น JPY CHF CAD AUD NZD GBP )

เว็บข่าวที่เกี่ยวกับ Forex

ตารางเวลาเปิด-ปิด ของตลาด forex

ตารางเวลาเปิด-ปิดของตลาดการเงินทั่วโลก( Forex Market Time)


ตารางเวลาเปิด-ปิดของตลาดการเงิน (Forex Market Time)
   Time      GMT  0   1   2   3   4   5   6   7   8   9  10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23
Zones ไทย 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 0 1 2 3 4 5 6
M USD
                         O  O  O  O  O  O  O  O  O  O    
a GBP                O  O  O  O  O  O  O  O  O                
r EUR              O  O  O  O  O  O  O  O  O                  
k CHF              O  O  O  O  O  O  O  O  O                  
e
JPY  O  O  O  O  O  O  O  O                                
t AUD O  O  O  O  O  O                                  O  O
                                                   

จะเห็นว่า เวลาเปิด-ปิดของตลาด จะคาบเกี่ยวกันตลอดทั้งวัน ซึ่งก็หมายความว่า ราคาของค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอด 24 ชั่วโมง แต่เราไม่ควรเล่นทั้งวัน
ช่วงเวลาที่น่าเล่นที่สุดคือ 12.00-22.00 เวลาประเทศไทย ช่วงนี้ตลาดจะมีเทรนและมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน สามารถบอกทิศทางได้

อ่านก่อนเทรด



สิ่งที่ต้องมี

1. เครื่องพิวเตอร์ พร้อมใช้งาน
2. Internet
3. เงิน
4. ใจ

สิ่งที่ต้องทำ

1. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ Forex ให้ถี่ถ้วน
2. อ่านเทคนิคและวิธีการทำกำไร
3. เปิดบัญชี Broker Forex

หลักการโดยทั่วไปให้การเทรดฟอเร็กซ์ (General Tradings Guidelines)

1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)

    ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย 1. การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด 2 . การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss) 3. การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target) 4. การวางแผนทางการเงิน ( Money Management) 5. การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management) การจัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ไกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด)  ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ

2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )

  อย่าคิดสวนเทรน  ให้หาสัญญาณ  Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง ( ฺำBearish Market ตลาดแดนลบ)

3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)

    สิงสำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเ็ร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)

    ถ้าราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ   ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด  -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance

5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)

    ก่อนทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย ( Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy  ก็ได้

6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)

 สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear)  อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position)  ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้

7. อย่าเทรดตามคุณอื่น  ( Do not trade base on tips from other people)

   ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด

8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)

    เมื่อคุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก

9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)

    เมื่อคุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่

10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)

    ไม่ควรเปิดเทรดมากเกินไป  ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป

บัญญัติ  10 ประการ อยากรวยต้องรู้

1. " ความรู้ทางการเงิน  สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า ความรู้ทางการงาน " เพราะในชิวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่สามารถหา รายได้จากการทำงาน (  you at work ) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้อง รู้วิะีที่จะ  "ใช้เงินให้ทำงาน" ( Money at Work)
2. การออมเป็น " เกมแห่งระยะเวลา " ( Game Of Time ) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่ง ทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น " เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน
3.การลงทุนเป็น " เกมแห่งจังหวะเวลา" ( Game Of Timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนนั้นยากขั้นเรื่อยๆ ( Losses are harder to regain)
4. การตัดสินใจเกี่ยวกับจังหวะการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (Product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆแล้วการลงทุนเปนกระบวนการ ( Process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา
5.หนทางนำไปสู่ ความสำเร็จไม่ได้เพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไมไ่ด้อยู่ที่รุปแบบ วิธีการหรือ style ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเกมส์ภายนอก" Outer Game" แต่เป็นเรื่องทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" ( Inner Game)
6.ลำพังแค่การ " เอาชนะดัชนี" ( Beat the Index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ก็ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" ( Beat The Market)  ได้ เคล็ดไม่ลับในการยืนหยัดอยู่ในเกมส์การลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ " ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืยอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ ฝืนตลาด
7.ความ สำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆแลว มันอาจเปรียบได้กับการวิ่งระยะไกล ( Marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร( Sprint) ดังนั้น คุณต้อง " รู้จักตัวเอง "( Know yourself) ว่าอะไรคือ style การลงทุนที่เหมาะสมที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง ( Risk Attitude) และทักษะในการลงทุน ( Risk Aptitude) เพราะนั้นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุระกิจ" นี้ในระยะยาว
8. ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง " รู้จักเครื่องมือ " ( Know the vehicle) ว่ามีลักษณะ และรุปแบบการให้ผลตอลแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง
9. นอกจากนี้ คุณต้อง " รู้จักตลาด " ( Know the Market) คือ  รู้ว่าตลาด การเงินมีธรรมชาติอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิด การกระเพิ่อมขึ้นลงของตลาด และรู้วิธีการในการบริการความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้อย่างไร
10. อย่าติดอยู่กับดักของ " การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" ( Information overload) ซึ่งมั่วแ่ต่สนใจหาข้อมูล ศึกษาวิเคราะหฺ จนไม่กล้าลงมือ ปฏิบัติ( Analysis paralysis)  เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกแบบสมบูรณ์ ( Perfectionish) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด ( Zero-Defect-Mentality) จริงๆแล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ " จำกัดความเสี่ยง" ( Risk Limitation) ไม่ใช่ " กำจัดความเสี่ยง"( Risk Elimination) ถ้าถามว่ากฏที่สำสำคัญทีสุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ ( Rule Of Thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด " อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า Rule Of  "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องทำ" เพราะในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ " ( Luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge
 แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถุกต้อง " นันเอง

กฏ  10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วยการวิเคราะห์ ทางเทคนิค


กฏทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป้นรุปแบบได้ ซึ่งให้กฏเหล่านี้ จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม หาจุดกลับตัว ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย ( moving average) มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หาคุณสามารถเข้าใจและปฏิตามหลักการเหล่านี้ เชื่อว่าคุณก็จะสามารถเอาตัวรอดด้วยการลงทุนแบบวิเคราะหฺทางเทคนิคได้แน่นอน

1. ดูแนวโน้ม ( Trend )
เรียน รู้ Chart กราฟ ในระยะยาว โดยเริ่มจาก กราฟ ในระดับเดือน Monthly และ สัปดาห์ ( weekly) ของช่วงเวลา ( Time Frame) หลายๆปี การดูกราฟช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะสามารถทำให้มองเห็นแนวโน้มของตลาดในระยะยาว ได้อย่างแม่นตรงกว่าการมองกราฟในระยะสั้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว ก็ต้องกลับดูกราฟระยะสั้น ระดับวัน Daily ระดับ ชั่วโมง Hourly การดูแนวโน้มในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เิืกิดข้อผิดพลาดได้  ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้นคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศ ทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและระยะยาว ( Middle Term and Long Term )

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม ( Analysis and follow trend)
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว(Long Term) ระะกลาง(Middle Term) และระยะสั้น(Short Term) สิ่งแรก คือ คุณต้องรู้ว่าคุณลงทุนเป็นระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ กราฟของช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยที่คุณไม่แน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขั้น ( Up trend) และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง ( Down Trend) หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้กราฟในระดับวันและัสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนในระยะสั้น ให้ใช้กราฟระดับวันและชัวโมง อย่างไรก็ตามในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้กราฟของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3.การหาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อBuy/Long ก็คือจุด ที่ไกล้แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายSell/Short ก็คือ จุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสงสุดของกรอบราคาการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนที่แนวต้าน แนวต้านก็กลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลงอีกนัยนึง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่และเ่ช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4.รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหน จึงจะกลับตัว
เทียบอัตราส่วนการขึ้นลงเป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะ มีการกลีบตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนของแนวโน้ม ของช่วงเวลาก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นลงของแนวโน้มปัจจุบันโดยใช้ อัตรส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขั้นหรือลง 50%ของแนวโฯ้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อนหน้านั้น และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนใจคือ อัตราส่วนของFibonacci  38.2% 61.8 % ดังนั้นเมื่อตลาดมีการพัดตัวในแนวโน้มขาขึ้นจะมีจุดซื้อคืนจุดแรก เมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5.ใช้เส้นแนวโน้ม TrendLine
เส้น แนวโน้ม TL เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่ต้องคำนึงมีเพียงของเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนกราฟ เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด / 06f ที่อยู่ไกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดที่อยู่ไกล้กัน ราคามักจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนที่กลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หาราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลีี่ยนแปลงแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนที่แตะที่เส้น สาม ครั้ง เป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้มและยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความ สำคัญมากขึ้น

6.ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average)
หมายถึงการ เคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย( Moving Average) ซึ่งจะบอกถึงราาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เ้ส้นค่าเฉลี่ยนี้จะแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใด และช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตามเส้่นค้่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำ ลังจะเปลียน รุปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2  เส้น เพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กัน คือ period 5 , 10  , 20 , 34, 50 , 89 , 100 , 200 โดยทั่วไปแล้วจะจับคู่กันระหว่างเส้นแนวโน้มระยะสั้น และระยาว เส้นแนวโน้มระยะสั้นจะมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 และ เส้นแนวโน้มระยะยาวจะมากกว่า Period 50 สัญญาณการชื้อ ขาย เกิดขึ้นเมื่อ แนวโน้มระยะสั้นตัดกับแนวโน้มระยะยาว เช่น เส้นแนวโน้ม Period 5 ตัดกับ 50 เมื่อตัดกันแล้ว คุณก็ ซื้อ ด้วยเหตนี้ เส้นแนวโน้มค่าเฉลี่ยจึงเหมาะกับตลาดที่อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หรือตลาด มีเทรน

7. รุ้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators เป็นเครื่องมือที่ช่วงของขอบเขตอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เป็น เครื่องมือที่วัดการแกว่งของตลาด เหมาะ สำหรับตลาด ที่มีเทรนไม่แน่นอน เป็นดัชนีที่ช่วยบ่งชี้จุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะีี่ที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดจุดกลับตัว Oscillator ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastic ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillator เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน70 จะแดงว่ามีการซื้อที่มีมากเกินไป ( Overbought)และต่ำกว่า 30 แสดงว่ามีการขายมากเกินไป ( Oversold) ค่า OB และ OS สำหรับ Stochastic คือ80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 และ 9 สำหรับRSI และ Stochastic ใช้ค่า( 8 3 3    )  ( 14 3 3 ) ( 17 4 8 ) และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความพึ่งพอใจของแต่ละบุคคล  สัญญาณการกลับตัวที่เกิดขึ้นใน Oscillator จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเล่นเกร็ง กำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณในระดับวัน สำหรับยืนยันสัญญาณในรายชั่วโมง

8.มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด(พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ oscillator ไว้ด้วยกัน สัญญาณที่จะซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่าา โดยทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า 0 Zero line สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าเหนือ 0 Zero Line สัญญาณในระดับสัปดาห์ จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD Histogram ซึ่งมาลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่างMACD สองเ้ส้น สามารถส่งสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Direction Index( ADX)  เป็นดัชนี ที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่และเป็นตัวช่ยวัดว่าแนวโน้ม อยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขึ้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก คงรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเกร็งกำไรระยะสั้นคงรใช้ Oscillator ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกใข้เครื่องมือที่เหมาะ สมกับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยนยันแนวโน้ม
สัญญาณที่ให้ การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจากผู้ที่ เข้ามาซื้อขายใหม่(Open Interest) ทั้ง สอง ตัวนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่างหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขาย อย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจบัน ในแนวโน้มขาขั้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน Open Interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก Open Interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนัั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้น ราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรมีปริมาณซื้อและ Open Interest หนุนอยู่ด้วย


เครดิต thaiforexschool. ครับ

Forex คืออะไร ??

Forex คืออะไร ??
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราสากล “Foreign Exchange Market” เรียกโดยย่อว่า “FOREX” หรือ “Forex” หรือ “Retail forex” หรือ “FX” หรือ “Spot FX” หรือเพียงแค่ “Spot” เป็นสถาบันตลาดการเงินที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายเกิน 4 ล้านล้านเหรียญต่อวัน ถ้าเราเปรียบกับ 25 ล้านเหรียญ ต่อวัน ของปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นิวยอร์ค คุณจะเห็นความมหึมาของตลาดเงินตราสากล ความจริงแล้วมันก็ประมาณ 3 เท่าของตลาดหุ้นทุกชนิดในโลกรวมกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ของ Forex คนไทยส่วนใหญ่ เข้าใจคำว่า Forex ผิดไป ส่วนมาก เมื่อเอ่ยถึง Forex จะมีภาพพจน์ไปทางทางฟอกเงิน ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่า Forex เป็นแหล่งเงินที่มีความคล่องตัวสูงมาก จึงทำให้สิบแปดมงกุฏทั้งหลาย นิยมอ้างถึงในการชวนระดมทุนว่านำไปทำกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ หากอ่านต่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคุณจะมองเห็นภาพของฟอเร็กซ์กระจ่างขึ้น

ใช้อะไรในการค้าเงินตรา

คำ ตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ เงิน ตลาด ฟอเรกซ์ เป็นตลาดที่ทำการซื้อหนึ่งสกุลและขายอีกหนึ่งสกุลได้ในทันที สกุลค้าขายโดยผ่ายตัวแทน โบรกเกอร์ (Broker) หรือ ตัวแทน (Dealer) และซื้อขายกันเป็นคู่ต่างสกุลเงิน ยกตัวอย่างเช่น เงินดอล์ล่ายูโร กับ ดอล์ล่าอเมริกา หรือ เงินปอนด์อังกฤษ กับ เงิน เยน ญี่ปุ่น

เป็น เพราะว่าคุณไม่ได้ซื้อสิ่งของที่จับต้องได้ การค้าชนิดนี้อาจจะเข้ายากสักนิด อาจคิดเหมือนกับว่าการซื้อสกุลเงินเป็นการซื้อหุ้นของประเทศนั้น ๆ เมื่อคุณซื้อเงิน เยน ญี่ปุ่นเท่ากับคุณซื้อหุ้นเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น เพราะค่าของสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น เป็นผลสืบเนื่องโดยตรง ที่ตลาดเล็งถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศญี่ปุ่น

โดย ทั่วไปแล้วอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่ออีกสกุลเงินหนึ่ง สะท้อนถึงสถานภาพของเศรษฐกิจของประเทศนั้น เปรียบเทียบ กับอีกประเทศหนึ่ง
ไม่ เหมือนตลาดหุ้น (Stock Market) ของนิวยอร์ค ตลาดฟอเร็กซ์ไม่มีสถานที่ตั้งหรือศูนย์กลาง หรือสำนักงานใหญ่ เหมือนตลาดหุ้นอื่น ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดอยู่ในประเภท Over the Counter (OTC) หรือ ธนาคาร “Interbank” ด้วยความจริงที่ว่าตลาดทั้งหมดเดินด้วยการสื่อสารอีเลคทรดนิค ภายในเครือข่ายของธนาคารๆ ตลอด 24 ชั่วโมง

ก่อน ปี ค.ศ. 1990 เฉพราะเศรษฐี และ องค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ที่สามารคเข้าเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ นี้ได้ คุณสมบัติขั้นต่ำคือคุณต้องมี 50,000,000.– (ห้าสิบล้าน) เหรียญสหรัฐ เพื่อเริ่มต้นที่จะเข้าทำการเทรด แรกทีเดียว ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดให้เป็นตลาดที่ใช้โดยธนาคาร และ องค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีไว้ให้พวกเราเข้าเทรดเล่นๆหรอกนะ อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าทางอินเตอร์เนท การเทรดฟอเรกซ์ได้ถูกจัดโดยเอเยนซี่ต่างๆ ให้เข้าทำการเทรดได้ ด้วยบัญชีรายย่อย สำหรับพวกเรา ๆ ท่าน ๆ

ทั้งหมดที่ท่านต้องมี ก็เพียงแต่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และ บริการไฮสปีส อินเตอร์เนท และข้อมูลต่าง ที่คุณหาได้
จาก http://www.fx-dd.makewebeasy.com

http://www.fx-dd.makewebeasy.com สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อ แนะนำ ทัศนะ และ ความเข้าใจด้านต่างๆ ที่จำเป็นเป็นแก่ผู้ที่เพิ่งเริ่ม หรือจะเริ่ม ทำการเทรด ฟอร์เรกซ์ ในลักษณะ สบาย ๆ ง่าย ๆ ที่เข้าใจ

Spote Market คืออะไร ? ตลาดสปอตมาร์เกต ก็คือตลาดที่ทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามราคาปัจจุบัน Forex จัดอยู่ในประเภท สปอตมาร์เกต เพราะใช้ค่าของตัวเงินในการเทรดนั่นคือเงิน ต่างจาก Future Market ที่เราได้ยินกันในประเภทซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี่สื่อสารที่ทันสมัย ทำให้ Spote Market ได้รับความนิยม เหนือ Futrue Market แบบ ขาดลอย เพราะผู้เทรดใน Future Market จำต้องพิจารณาควบถึงอุปสงค์ของสินค้าเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตด้วย ซึ่งนับวันจะได้รับความนิยมน้อยลง การทำการซื้อขายฟอร์เรกซ์ ผู้เทรดคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่งคง มั่งคั่งของประเทศที่เลือกเทรดและประเทศคู่ค้า จะเห็นว่าการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า Future Market ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังต้องคำนึงถึงอุปสงค์ของสินค้านั้น ๆ อีกด้วย การวิเคราะห์แนวโน้มราคาของสินค้าเกษตรจึงดูเหมือนกับไม่ใช่เป็นของหมู ๆ เลย Future Market จำถูกจำกัดอยู่เฉพราะในวงการพ่อค้าคนกลางของสินค้านั้น ๆ

สกุลเงินอะไรที่ใช้ในการเทรด ?

สกุลเงินที่เป็นที่นิยมพร้อมด้วยชื่อย่อดังรายการต่อไปนี้.-

อักษรย่อ ประเทศ สกุลเงิน   ชื่อเรียก  
USD United States Dollar   Buck  
EUR Euro members Euro   Fiber  
JPY Japand Yen   Yen  
GBP Great Britain Pond   Cable  
CHF Switzerland Franc   Swissy  
CAD Canada Dollar   Loonie  
AUD Australia Dollar   Aussie  
NZD New Zealand Dollar   Kiwi  


อักษรย่อของสกุลเงินจะเป็นอักษร 3 ตัว เสมอ 2 ตัวแรกบ่งถึงประเทศ ตัวสุดท้ายหรือตัวที่ 3 บ่งถึงชื่อสกุลเงินที่ประเทศนั้นใช้

เมื่อไหร่ที่สกุลเงินถูกทำการเทรด ?

Spot FX market หริอ ตลาดสปอต เป็นเอกลักษณ์ในตลาดโลก เหมือนซุปเปอร์มาเก็ต ที่เปิดตลาด 24 ชั่วโมงต่อวัน ศูนย์การเงินเปิดให้บริการทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก ธนาคาร และ สถาบันการเงิน สำหรับบริการทั้งวันทั้งคืนอาจหยุดเพียงชั่วขณะช่วงสุดสัปดาห์
ตลาดแลก เปลี่ยนเงินตราหมุนตามดวงอาทิตย์รอบโลก ซึ่งคุณสามารถเทรดได้ในเวลากลางคืน (หากว่าคุณใกล้เคียงมนุษย์ค้างคาว) หรือ ช่วงเช้าตรู่ (ถ้าคุณชอบหากินดั่งนก) แต่ควรตระหนักไว้หน่อยว่า นกไม่จำเป็นต้องจับหนอนได้เสมอไป ในตลาดเทรด คุณอาจได้หนอนมาเหมือนกัน แต่เจ้านกสกปรกตัวใหญ่กว่าอาจฉกหนอนของคุณต่ออีกทีก็ได้
ช่วงเวลา นิวยอร์ค เวลาโลก
โตเกียว เปิด 7:00 pm. 0:00
โตเกียว ปิด 4:00 am. 9:00
ลอนดอน เปิด 3:00 am. 8:00
ลอนดอน ปิด 12:00 pm. 17:00
นิวยอร์ค เปิด 8:00 am. 13:00
นิวยอร์ค ปิด 5:00 pm. 22:00


ตลาด ฟอร์เร็กซ์ (OTC) over the counter
ฟอร์เร็กซ์ OTC ว่าไปแล้วเป็นตลาดเทรดเงิน ที่ใหญ่และป๊อปปูล่าที่สุดในโลก !!!
ทำ การเทรดโดยบุคล และ องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ในตลาด หน้าเค้าเตอร์ (OTC) สมาชิกผู้เทรดตัดสินใจว่าจะเทรดสกุลเงินไหน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความน่าเชื่อถือ ของราคา และประวัติ ของสุกลนั้นต่ออีกสกุลหนึ่ง
ผัง แสดงค่านิยม ของผู้เทรด ต่อสกุลเงิน แสดงว่า เงินดอล์ล เป็นเจ้าศูนย์กลางแห่งการเทรดของบรรดานักเทรดทั่วโลกถึง 89%ของการเทรดทั้งหมด ยูโรมาเป็นที่สอง และญี่ปุ่นมาเป็นที่สาม


ทำไมไม่ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ มาเทรดฟอร์เร็กซ์ทำไม?
  • มี ผลประโยชน์นานัปการสำหรับการเทรดฟอร์เร็กซ์ ด้านล่างนี้เป็นเพียงเหตุผลบางส่วนที่ ทำไมคนส่วนใหญ่เลือกเทรด ฟอร์เร็กซ์ ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ไม่มีค่าเคลียริ่ง ไม่มีค่าแลกเปลี่ยน ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่มีค่าโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ได้ค่าตอบแทนจาก อัตราค่าต่างของราคาเสนอซื้อกับราคาเสนอขาย ที่เรียกว่า bid-ask sprade
  • ไม่ มีพ่อค้าคนกลาง การเทรดผ่านตลาดสปอต ทำให้ไม่สามารถมีพ่อค้าคนกลาง โดยที่คุณสามารถเทรดโดยตรงกับตลาดที่รับผิดชอบตามราคาที่กำหนดในชาร์ตอัตรา แลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน
  • ไม่จำกัดขนาดของล๊อต ในตลาดเทรดปัจจุบัน ขนาดของล๊อตมีขนาดต่างกัน ขนาดแสตนดาร์ด สำหรับเทรดซิลเวอร์คือ น้ำหนัก 5,000 ออนซ์ ในตลาดสปอตฟอร์เร็กซ์ คุณสามารถเลือกขนาดล๊อตได้เอง ทำให้ผู้เทรดสามารถเลือกล๊อตขนาดเล็กถึง 250 เหรียญ (อย่างไรก็ตามเราจะพูดถึงอีกทีว่า ขนาดล๊อต 250 เหรียญไม่ใช่ว่าดีX
  • ค่าเสปรดต่ำ ค่ารายการบัญชี (bid/ask spread) โดยทั่วไปจะต่ำกว่า 0.1 % ในสภาวะปกติ ดีลเลอร์ใหญ่ค่าเสปรดอาจต่ำเพียง .07% โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับขนาดของล๊อตที่คุณเลือก เราจะอธิบายในภายหลัง
  • ตลาด 24 ชั่วโมง ไม่มีการที่จะต้องรอที่ทำการเปิด จากเช้าตรู่วันจันทร์ยันเช้าตรู่วันศุกร์ตามเวลาบ้านเรา ตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่เคยหลับ ถ้าคุณเทรดพาร์ทไทม์ คุณสามารถเลือกที่จะ เทรด เวลาไหนก็ได้ เช้า สาย บ่าย เย็น หรือ ขณะที่คนอื่นกำลังฝันหวาน
  • ไม่สามารถปั่นตลาดได้ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินฟอร์เร็กซ์ ใหญ่โตมโหรถึกมากจนไม่มีเศรษฐีหรือองค์กรไหน ๆ (แม้กระทั่วเซนทรัลแบงค์) ก็ตาม สามารถที่จะตรึงราคาของสกุลเงินใด ๆ ไว้ได้เกินชั่วขณะ
  • Levelage เลเวลเลจ ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ คือจำนวนมาร์ยิน หรือเครดิทที่คุณจะได้จากดีลเลอร์ เลเวลเลจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถทำกำไรให้คุณได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ให้เลเวลเลจคุณในอัตรา 200 ต่ด 1 นั่นหมายความว่าคุณวางเงินเพียง 50 ดอล์ล คุณสามารถเทรดหรือซื้อขายได้ถึง 10,000 ดอล์ล ในทำนองเดียวกัน 500 เหรียญ ก็สามารถเทรดถึง 100,000 เหรียญ ตามสัดส่วน แต่เลเวลเลจ ก็คือดาบสองคมเช่นกัน หากปราศจากการจัดการเงินที่ดี อัตราเลเวลเลจที่สูงเกินอาจทำให้เสียหายมากพอกับที่จะได้กำไรเช่นกัน
  • แหล่งเงินที่คล่องตัวที่สุด เหตุที่ฟอร์เร็กซ์ ใหญ่โตมโหราฬมาก มันมีความคล่องของการหมุนเวียนเงินเช่นกัน นั่นหมายความว่า ภายใต้สถานการณ์ปกติ จากการแค่คลิ๊กเมาซ์ที่ปลายนิ้ว สามารถซื้อหรือขายได้ทันที คุณไม่ต้องรอจนกว่าจะมีคู่ซื้อเหมือนหุ้นสินทรบ้านเรา ที่บางครั้งต้องเทขายด่วนที่สุดแต่หาคนซื้อไม่ได้ เพราะมีแต่คนเทขาย อิอิ… นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งกำหนดการซื้อการขายบนหน้าจอ ตามราคาที่คุณต้องการและ ระบุราคาปิด หรือตั้งราคาจำกัดการขาดทุนได้อีกด้วย
  • เปิดบัญชี ดีโม ทดลองเล่นในสภาวะตลาดแท้จริงได้ฟรี มีข่าว ราคา และการวิเคราห์ พร้อมบนหน้าจอมอนนิเตอร์ในห้องทำงานหรือในบ้านอันสุขสบายของคุณ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เสนอฟรีให้ท่านสามารถทดลองเทรดเหมือนจริง เพื่อเพิ่มทักษะ และความมั่นใจ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สังเวียนและเทรดด้วยเงินแท้ ๆ
  • บัญชีเทรด Mini และ Micro คุณอาจจะคิดว่าถ้าจะเริ่มเข้าเทรด อาจต้องใช้เงินเป็นตัน ความจริงแล้ว ถ้าเทียบกับการซื้อหุ้นอุตสาหกรรม ไม่ใช่เลย โบรกเกอร์ ออนไลน์ ของฟอร์เร็กซ์ มีการเสนอ บัญชี Micro และ Mini สำหรับผู้มีเบี้ยน้อยหอยน้อย ไม่กี่เหรียญก็เข้าเทรดได้ เราไม่ได้พูดว่าจะต้องมีเงินอย่างต่ำเท่าไหร่จึงสมควรที่จะเปิดบัญชเทรด แต่ข้อเสนอนี้ทำให้ ฟอร์เร็กซ์ สามารถเข้าถึงได้จากคนทั่วไปหรือจนกว่าทั่วไปซะอีก ที่ไม่มีเงินทุนเป็นก้อนเป็นกำที่จะเริ่มเทรด เหมือนหุ้นสินทรบ้านเรา
ต้องมีเครื่องมืออะไรในการเริ่มเทรดฟอร์เร็กซ์?
คอมพิวเตอร์ ซักเครื่องพร้อมไฮสปีดอินเตอร์เนท ซึ่งแทบทุกบ้านก็คงมีอยู่พร้อมแล้ว และข้อมูลในเวป แค่นั้นเอง
ต้องเสียเงินเท่าไหร่ที่จะเทรดฟอร์เร็กซ์
เทรดออนไลน์ ไมโคร Micro อาจใช้เงินเพียงแค่ร้อย สองร้อย เหรียญก็พอแล้ว หรือเขยิบขึ้นอีกนิด คือ Mini Accounทั้งสองอย่างเหมาะที่จะใช้ในการเริ่มเทรด เข้าประลองยุธเอาเหงื่อซักหน่อย ไม่ถึงกับทำให้ล่มจม จะเลือกอย่างไหนก็ตามแต่ ซักประมาณ พันเหรียญ หรือ หมื่นเหรียญสำหรับMini Account ก็น่าเหมาะที่จะเริ่มได้เลย… แต่ช้าก่อน หากคุณคุ้นเคยกับ http://www.fx-dd.makewebeasy.comสัก หน่อย คุณจะพบว่าเรามีเทคนิคมากมาย พร้อมเครื่องมือที่จะทำให้คุณโกยเงินจากอากาศได้อย่างสบาย ๆ ด้วยซ้ำ คุณอาจลืม MLM (มันหลอกมึง) ที่คุณเหนื่อยล้า สุดระอา กับมันแล้วก็ได้ นี่คือธุรกิจที่ไม่มีคูแข่ง คุณสามารถขายหรือปิดออเดอร์ ได้ทุกวินาทีที่คุณต้องการ ไม่ต้องมีโกดังใหญ่โตเพื่อเก็บสินค้าที่คุณซื้อ ไม่ต้องสู้กับค่าน้ำมันขนส่งสินค้าไปให้ลูกค้า ไม่กังวลว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก หรือม๊อบจะเคลื่อนขบวน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณมีที่ปรึกษามืออาชีพอยู่เคียงข้างคุณที่ปลายนิ้ว เพียงคลิก http://www.fx-dd.makewebeasy.com

วิธีการรับโบนัส

เมื่อทำการยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเทรดได้  ที่นี่ครับ 
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ดูที่ซ้ายมือ จะมีคำว่า Nevigator แล้วเลือก ที่ Scripts แล้วเลือก verify_client

How welcome bonus is deposited - step 3

เมื่อ สคริปเริ่มทำงานแล้ว เราก็จะได้รับ Welcome Bonus 15 เหรียญเข้าบัญชีเราทันที
(ในรูป 5$ เป็นรูปเก่าครับ เขาพึ่งเพิ่มให้เป็น 15$ เมื่อไม่นานมานี้เองครับ)




บัญชีนี้เมื่อเทรดมีกำไรแล้ว สามารถถอนได้ ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ไม่หักเงินเรา ถ้าเราจะเอาเงินเข้า ของฟรีครับ

   อีกหนึ่งข้อดีของโบรกเกอร์ Roboforex คือ มีผลตอบแทนจากการเทรดครบ 1 lot ให้อีกด้วย
   ถ้าเราเลือก Beginner เมื่อเทรดครบ 1 lot จะได้เงินเข้าบัญชีเราทันที 0.5 $
   ถ้าเลือก Trader เมื่อเทรดครบ 25 lot ขึ้นไป รับทันที lot ล่ะ 1 $ เข้าบัญชีเทรด
   ถ้าเลือก Expert เมื่อเทรดครบ 70 lot ขึ้นไป รับทันที Lot ล่ะ 2 $ เข้าบัญชีเทรด
   ถ้าเลือก Pro .. เมื่อเทรดครบ 100 lot ขึ้นไป รับทันที Lot ล่ะ 3 $ เข้าบัญชีเทรดทันที
    
   
    
   เมื่อเราเลือกแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนได้นะครับ ก่อนเลือกก็ต้องดูด้วยนะครับ ว่าภายใน 1 อาทิตย์ เราสามารถเทรดได้กี่ lot ส่วนผมเลือกแบบที่สองครับ
   ถ้าเทรดที่ 0.1 lot จุดละ 1 $ ก็ต้อง
   เทรด 10 ครั้ง จึงจะได้ 1 lot
   เทรด 100 ครั้ง ได้ 10 lot
   เทรด 1000 ครั้ง ได้ 100 lot

สำหรับ ใครที่ชอบเทรดสั้นๆ ผมแนะนำโบรกเกอร์นี้เลยครับ เปิดบัญชีแบบ Pro-Cent หรือ Pro-Standard  ก็ได้ครับ เปิด-ปิด ออเดอร์ได้เร็วมากครับ

เครดิตพี่แมค thaiforexschool
ขอบคุณครับ

ขั้นตอนการถอน

กด Withdraw Funds  เลือกช่องทางการถอน  หากเราเอาเงินเข้าทางไหนก็ถอนออกทางนั้นครับ
เช่นเอาเข้าทาง LR ก็ถอนทาง LR  ออกทางอื่นไม่ได้ครับ


หลังจากนั้นก็รอไม่นานครับ ประมาณ 1 ชั่วโมง


ขอให้โชคดี หมั่นศึกษานะครับ forex ถ้าเทรดเก่งจริงๆ ทำรายได้หลักแสนต่อเดือนได้อย่างสบายๆ จากเงินทุนแค่หลักร้อย หรือหลักสิบเท่านั้นครับ


ขอบคุณครับ

ขั้นตอนการฝาก

ล็อกอินเข้าไป my.roboforex.com
กด Deposit Funds  เลือกวิธีที่เราจะฝากเข้า
ใส่จำนวนเงิน เลือกโบนัส มากสุดถึง 35%  โบนัสนี้ไม่สามารถถอนได้จนกว่าจะเทรดครบจำนวนออเดอร์ที่ทางโบรกเกอร์เขากำหนดครับ สามารถดูได้ที่ช่อง Execution percent ในหน้า Your Bonuses ครับ

ขั้นตอนการยืนยันตัวตนกับโบรกเกอร์ RoboForex

1.สแกนบัตรประจำตัวประชาชน  หรือ ใบขับขี่ หรือบิลเทสโก้โลตัสไว้ก่อนนะครับ
2.Log In เข้าไปที่เว็บ my.roboforex.com แล้ว ไปที่ Profiles แล้วเลือก Verification แล้วแนบไฟล์ ดังรูปด้านล่างนะครับ



เลือก เอาบัตรประชาชา หรือ ใบขับขี่ หรือ พาสปอร์ต ก็ได้นะครับ มันแนบได้สองใบ หรือใช้บิลที่เทสโก้ออกให้ก็ได้ครับ เป็นบิลที่ขอที่เค้าเตอร์ เขียนชื่อที่อยู่ของเราเป็นภาษาอังกฤษ ประทับตราเทสโก้โลตัส
ในกรณีที่บัตรประจำตัวประาชนของเราเป็นแบบรุ่นเก่า ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษครับ
ช่อง  lssued by ใส่  Government (รัฐบาล)ก็ได้นะครับ

หลังจากนั้นก็รอ ปกติไม่เกิน 2 วันทำการนะครับ ถ้าผ่านทางโบรกเกอร์ก็จะส่งอีเมล์มาพร้อมแจ้งข้อมูลต่างๆ เราสามารล็อกอินเข้าไปตรวจดูได้ที่นี่ครับ my.roboforex.com
เมื่อยืนยันเรียบร้อยแล้ว ลงโปรแกรมและกดเบิกโบนัสครับ คลิกที่นี่ 

Account Type Of RoboForex ( ประเภทของบัญชีของโบรกเกอร์ โรโบฟอเร็กซ์)




โบรกเกอร์ RoboForex มี Account ทั้งหมด 2 ประเภท คือ Account แบบ Fix และ Pro
1. Fix Account คือ เป็นบัญชีที่มีทศนิยม 4 ตำแหน่ง และ เป็นบัญชีที่จำกัด Spead ของคู่เงินต่างๆ เช่น Spread ของคู่เงิน EUR/USD ก็จะ Fix ไว้ที่ 2 pip  โดยแบ่งย่อยบัญชีออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

 1.1 Fix-Cent คือ บัญชีที่มีหน่วยเป็น Cent    1 USD = 100 Cent บัญชีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีทุนน้อย ต่ำกว่า 100 เหรียญ เทรดโดยใช้หน่วย Micro Lot เริ่มต้นที่
    0.1 Lot คือเทรดจุดละ 1  Cent
   1.0 Lot คือ เทรดจุดละ 10 Cent
   10.0 Lot คือเทรดจุดละ 1 ดอล

 1.2 Fix-Standard บัญชีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีทุนเยอะๆ เริ่มต้นเทรดที่ 0.01 Lot  จุดละ 10 Cent ทุน 200 ดอล ก็สามารถเปิดบัญชีเทรดแบบนี้ได้ ลงทุนขั้นต่ำ 50 ดอล
    0.01 Lot คือ เทรดจุดละ 0.1 ดอล
    0.1 Lot คือเทรดจุดละ 1 ดอล
    1.0 Lot คือเทรดจุดละ 10 ดอล

2. Pro-Account คือ บัญชีที่มีจำนวนจดทศนิยม 5 ตำแหน่ง สำหรับค่าเงิน EUR/USD และค่าเงินหลักๆที่ตามด้วย XXX/USD และ Spread จะแปรผันตามสภาวะของตลาด หมายความว่า สเปรดไม่คงที่ ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ ก็จะมีสเปรดน้อยๆ แต่ถ้าตลาดผันผวนสูงๆ บางทีโบรกเกอร์ก็อาจจะถ่าง Spread ให้สูงขึ้น

   เช่น ค่าเงิน EUR/USD  1.45110 ถ้าราคาเปลี่ยนแปลงไป 1.45510  เท่ากับ เปลี่ยนแปลงไป 400 จุด ถ้าเทียบกับ 4 ต่ำแหน่งก็เท่ากับ 40 จุด ซึ่งมาค่าเท่ากัน ถ้าเราลง      จำนวน Lot ที่เท่ากัน  ถ้าเราลง 0.1 Lot Standard ก็จะได้ 40 เหรียญเท่ากัน ทั้งสองบัญชี แต่ข้อดีของโบรกเกอร์ 5 ตำแหน่งคือ เวลาราคาเคลื่อนที่ มันเคลื่อนที่ได้ละเอียด   กว่า และเวลาเราปิดออเดอร์ เราอาจจะได้ส่วนเกินจากทศนิยมตัวที่ 5 เพิ่มขึ้นมาอีกนิดนะครับ

 Pro Account ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท เหมือนกันคือ
 2.1 Pro-Cent คือ บัญชีที่มีหน่วยเป็น Cent เหมาะสำหรับคนทุนน้อยๆ โดยจำนวน Lot ที่ลงก็เหมือนกัน Fix-Cent
 2.2 Pro-Standard คือ บัญชี Standard เหมาะสำหรับคนที่ทุนสูงๆ จำนวน Lot ที่เทรดก็เหมือนกับ Fix-Standard

Commission คือ ค่าธรรมเนียมที่เราต้องเสียให้กับโบรกเกอร์ เมื่อเราเปิดออเดอร์ ผมจะยกตัวอย่าง Pro-Standard ถ้าเราเทรดที่ 1.0 Lot(จุดละ 10 ดอล) เราก็จะเสียค่าคอมมิสชั่นให้โบรกเกอร์ 2 ดอล ซึ่งมันน้อยมากๆครับ เมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น

Swap (สวอป) คือ กำไรข้ามคืน การถือออเดอร์ข้ามคืน ข้ามวัน ทางโบรกเกอร์จะมีค่า Swap สำหรับคู่เงินนั้นๆ หรือเราอาจจะเรียกว่า "ค่าส่วยค้างคืน " ผมจะยกตัวอย่างค่าเงิน EUR/USD ถ้าเราเลือกบัญชี แบบมี Swap ( โดยความเป็นจริงแล้วเราก็ต้องเลือกบัญชีแบบมี Swap เพราะเราไม่ใช่ Islamic โบรกเกอร์มีบัญชี Free Swap สำหรับชาวอิสลาม)   เมื่อถือข้ามคืน ถ้า Buy เราก็จะได้ Swap ที่เป็น บวก แค่ถ้า Sell ก็จะได้ Swap ที่ติดลบ

Margin Call/ Stop Out   คือ  เมื่อเราติดลบเยอะๆ จำนวน Margin Level ที่เป็น % ก็จะลดลงมาเรื่อยๆ ถ้ามันลดลงมา ที่ 40 % มันเริ่มตัดพอร์ตเราแล้ว แต่ถ้ามันลงมาที่ 20 เปอร์เซน มันจะปิดออเดอร์ทั้งหมด จนล้างพอร์ตเลยครับ

Leverage 1 : 500 ทุกประเภทบัญชี สำหรับมือใหม่ อย่าใจใหญ่ มือหนักนะครับ เลือก Leverage แค่ 1 : 100 ก็พอครับ

ขอให้ทุกคนสนุกกับการเทรดที่โบรกเกอร์ RoboForex นะครับ
โบรกเกอร์ที่เปิดปิดไวที่สุด ณ เวลานี้
ร่ำรวยทุกคนครับ
เคดิตพี่แมคThaiforexschool 

ขั้นตอนการสมัคร

1. เปิดบัญชี Live Account   
https://my.roboforex.com/en/register/?a=ofe
2.ถ้าต้องการรับเงินฟรี ต้องเลือก บัญชีแบบ Pro-Cent หรือ Fix-Cent หรือถ้าใครทุนมากหน่อย แนะนำให้เลือก Pro-Standard ไปเลยนะครับ Deposits ขั้นต่ำ 50 เหรียญ


-เลือก Leverage  1 :500
-Account Type : USD
-Affiliate Code ใส่  ofe หรือไม่ใส่ก็ได้ครับ



href="https://my.roboforex.com/en/register/?a=ofe


เมื่อกรอกรายละเอียดเสร็จแล้วขั้นต่อไปคือการยืนยันตัวตน หรือการ verify  ครับ

-------------------------------------------------------------------------------------------
Account Type Of RoboForex ( ประเภทของบัญชีของโบรกเกอร์ โรโบฟอเร็กซ์)


โบรกเกอร์ RoboForex มี Account ทั้งหมด 2 ประเภท คือ Account แบบ Fix และ Pro
1. Fix Account คือ เป็นบัญชีที่มีทศนิยม 4 ตำแหน่ง และ เป็นบัญชีที่จำกัด Spead ของคู่เงินต่างๆ เช่น Spread ของคู่เงิน EUR/USD ก็จะ Fix ไว้ที่ 2 pip  โดยแบ่งย่อยบัญชีออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

 1.1 Fix-Cent คือ บัญชีที่มีหน่วยเป็น Cent    1 USD = 100 Cent บัญชีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีทุนน้อย ต่ำกว่า 100 เหรียญ เทรดโดยใช้หน่วย Micro Lot เริ่มต้นที่
    0.1 Lot คือเทรดจุดละ 1  Cent
   1.0 Lot คือ เทรดจุดละ 10 Cent
   10.0 Lot คือเทรดจุดละ 1 ดอล

 1.2 Fix-Standard บัญชีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีทุนเยอะๆ เริ่มต้นเทรดที่ 0.01 Lot  จุดละ 10 Cent ทุน 200 ดอล ก็สามารถเปิดบัญชีเทรดแบบนี้ได้ ลงทุนขั้นต่ำ 50 ดอล
    0.01 Lot คือ เทรดจุดละ 0.1 ดอล
    0.1 Lot คือเทรดจุดละ 1 ดอล
    1.0 Lot คือเทรดจุดละ 10 ดอล

2. Pro-Account คือ บัญชีที่มีจำนวนจดทศนิยม 5 ตำแหน่ง สำหรับค่าเงิน EUR/USD และค่าเงินหลักๆที่ตามด้วย XXX/USD และ Spread จะแปรผันตามสภาวะของตลาด หมายความว่า สเปรดไม่คงที่ ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ ก็จะมีสเปรดน้อยๆ แต่ถ้าตลาดผันผวนสูงๆ บางทีโบรกเกอร์ก็อาจจะถ่าง Spread ให้สูงขึ้น

   เช่น ค่าเงิน EUR/USD  1.45110 ถ้าราคาเปลี่ยนแปลงไป 1.45510  เท่ากับ เปลี่ยนแปลงไป 400 จุด ถ้าเทียบกับ 4 ต่ำแหน่งก็เท่ากับ 40 จุด ซึ่งมาค่าเท่ากัน ถ้าเราลง      จำนวน Lot ที่เท่ากัน  ถ้าเราลง 0.1 Lot Standard ก็จะได้ 40 เหรียญเท่ากัน ทั้งสองบัญชี แต่ข้อดีของโบรกเกอร์ 5 ตำแหน่งคือ เวลาราคาเคลื่อนที่ มันเคลื่อนที่ได้ละเอียด   กว่า และเวลาเราปิดออเดอร์ เราอาจจะได้ส่วนเกินจากทศนิยมตัวที่ 5 เพิ่มขึ้นมาอีกนิดนะครับ

 Pro Account ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท เหมือนกันคือ
 2.1 Pro-Cent คือ บัญชีที่มีหน่วยเป็น Cent เหมาะสำหรับคนทุนน้อยๆ โดยจำนวน Lot ที่ลงก็เหมือนกัน Fix-Cent
 2.2 Pro-Standard คือ บัญชี Standard เหมาะสำหรับคนที่ทุนสูงๆ จำนวน Lot ที่เทรดก็เหมือนกับ Fix-Standard


Margin Call/ Stop Out   คือ  เมื่อเราติดลบเยอะๆ จำนวน Margin Level ที่เป็น % ก็จะลดลงมาเรื่อยๆ ถ้ามันลดลงมา ที่ 40 % มันเริ่มตัดพอร์ตเราแล้ว แต่ถ้ามันลงมาที่ 20 เปอร์เซน มันจะปิดออเดอร์ทั้งหมด จนล้างพอร์ตเลยครับ

Leverage 1 : 500 ทุกประเภทบัญชี สำหรับมือใหม่ อย่าใจใหญ่ มือหนักนะครับ เลือก Leverage แค่ 1 : 100 ก็พอครับ

ขอให้ทุกคนสนุกกับการเทรดที่โบรกเกอร์ RoboForex นะครับ
โบรกเกอร์ที่เปิดปิดไวที่สุด ณ เวลานี้
ร่ำรวยทุกคนครับ
เครดิตพี่แมค Thaiforexschool

...

1. เสปรดต่ำ เริ่มต้นที่ 0 pips (ไม่คิดค่า เสปรด เลย)
2. รองรับ EA ได้ทุกรูปแบบ
3. ลงทุนต่ำสุด 10 เหรียญ (ยังไม่ต้องลงทุนก็เทรดได้)
4. รองรับ LR ใช้ง่ายสะดวกกับพวกเรา
5. เสปรดต่ำๆ เปิดออเดอร์เร็วมากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่นที่เปิดไม่ค่อยได้(รีโคว)เวลาตลาดแรงๆ ทำให้เล่นสั้นๆได้สบาย ไม่เสียจังหวะ ไม่เสียอารมณ์
6. มีเงินฟรีให้เราเทรด 15 เหรียญ(คิดเป็นเงินไทยเราก็ได้ฟรีๆ 500บาท เชียวนะ) กำไรจากจากโบนัสถอนออกได้ทันทีหลังจากยืนยันตัวตน
7. เทรดต่ำสุด 0.1 lot บัญชีแบบ Pro-Cent จุดละ 1 Cent เท่านั้น บริหารดีๆ เทรดเรื่อยๆ รวยได้จากเงินฟรีครับ
8. มีปุ่ม OneClickTrading ช่วยให้เทรดได้ง่ายขึ้น สะดวกต่อการเปิด-ปิดออเดอร์ (และผมชอบมากเวลาเปิดออเดอร์หลายๆ ออเดอร์ กด Close All ทีเดียว ปิดหมดทุกออเดอร์ทันที สะดวกมากครับ)
9. สามารถเทรดทองคำ (Gold Spot) ,เงิน (Silver)ได้อีกด้วยนะครับ Spread ต่ำ  และมีคู่เงินให้เลือกเก็งกำไรเยอะมาก  ไม่มีคอมมิชชั่น
10.ถอนเร็วมาก หลังจากยืนยันตัวตน กดถอนไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ได้รับเงินแล้วครับ ปกติแค่ 30 นาที ในวันและเวลาทำการ 





เริ่มกันเลย เปิดบัญชี รับเงินฟรี 15$ (1500 เซ็น) "เทรดได้เท่าไหร่เอาไปเลย"
(15$ ที่ให้เป็นทุนก็สามารถเบิกได้นะครับ แต่ต้องทำจำนวน lot หรือ order ให้ได้ตามจำนวนที่เขากำหนดถึงจะเบิกได้ ซึ่งก็ใช้เวลาหลายเดือนพอสมควรครับ)

ขั้นตอนการเปิดบัญชี คลิก  
ขั้นตอนการยืนยันตัวตน คลิก
ขั้นตอนการฝาก
ขั้นตอนการถอน
วิธีการรับโบนัส

------------------------------------------------


EA สำหรับเทรดอัตโนมัติ ทำกำไรไม่มากแต่ค่อนข้างชัวร์ ติดต่อผมได้ที่ E-mail /Msn - maxie2532@hotmail.com
------------------------------------------------


หากมีปัญหาติดขัด หรือข้อสงสัยก็สอบถามผมมาได้ที่ E-mail /Msn - maxie2532@hotmail.com ได้ตลอดนะครับ